วิธีขับรถลุยน้ำท่วม และการดูแลหลังขับรถลุยน้ำ
วิธีขับรถลุยน้ำท่วม และการดูแลหลังขับรถลุยน้ำ
พวกรถเครื่องยนต์ดีเซล นี่ทนสามารถขับลุยน้ำได้ แต่ถ้าวันใดน้ำเกิดเข้าไปในห้องเครื่องการแก้ไขจะยากมากอาจต้องเปลี่ยนเครื่องกันเลยที่เดียว ?เราจะมาพูดถึงเครื่องยนต์เบนซินเป็นหลักละกันนะ
1.ก่อนถึงจุดน้ำท่วมต้องลดความเร็วลง เพราะหากขับรถมีความเร็วผ่านบริเวณน้ำขัง รถจะเบาและอาจเสียการทรงตัวได้อันตราย จะคุมรถไม่อยู่ โดยอย่าให้ความเร็วมากกว่า60-80 กม.ต่อ ชม.
2.แล้วจะรู้ได้ไงว่าระดับน้ำขนาดไหนที่จะขับผ่านได้ ?ถ้าเป็นรถเก๋งก็ดูประมาณไม่เกิน 30 ซ.ม.(ฟุตนึงพอดี) ก็ประมาณครึ่งล้อ หากยังขืนลุยต่อโอกาสเครื่องดับก็มี
3.ถ้าจำเป็นต้องลุยกันจริงๆ (ผมก็เลือกข้อนี้นะ 555) สำหรับรถเก๋ง อันดับแรกให้ปิดระบบเครื่องปรับอากาศในรถ พร้อมเปิดกระจกระบายอากาศ ?ที่ให้ปิดระบบแอร์เพราะใบพัดอาจพัดน้ำเข้าเครื่องได้ หรือเข้าระบบไฟฟ้าได้
4.ขณะขับลุยน้ำให้ใช้เกียร์ต่ำ คือเกียร์ 1-2 ?และรักษาอัตราเร่งไว้ให้ได้ประมาณ 1500-2000 รอบ ต่ำกว่านี้เครื่องอาจดับ สูงกว่านี้อาจจะดูดอากาศและน้ำเข้าเครื่องได้อีก ? ถ้าดับกลางน้ำท่วมนี่เซ็งแย่เลยนะ
5.ขณะขับลุยน้ำให้รักษาระยะห่างคันหน้าให้มาก เพราะระบบเบรกของท่านแช่น้ำอยู่ประสิทธิภาพต่ำลงเยอะ และถ้าพ้นน้ำแล้วก็ให้ขับช้าๆ และเบรกเป็นช่วงๆ เพื่อให้ผ้าเบรกแห้ง ถ้าดิสเบรคจะแห้งเร็ว แต่ถ้าดรัมเบรคจะแห้งช้ากว่า ระวังข้อนี้ให้ดีนะ
6.และสุดท้าย เกิดเผอิญซวยเครื่องดับกลางน้ำ(จนได้) ให้หาคนช่วยย้ายรถไปตำแหน่งที่น้ำไม่ท่วม และอย่าทะลึ่งสตาทรถ เพราะยิ่งสตาท น้ำยิ่งเข้าระบบเครื่องยนต์จะพังหนักไปกันใหญ่
และฝากสำหรับรถที่อาจเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม หากรู้ตัวให้รีบถอดขั้วแบตเตอรี่รถยนต์ออกขั้วใดขั้วหนึ่ง หรือทั้งสองขั้ว ใ้้ห้ระบบไฟฟ้าไม่ทำงานซะ จะผ่อนหนักเป็นเบา ?และหากถูกน้ำท่วมทั้งคัน ก็ให้เปลี่ยนของเหลวในรถยนต์ใหม่ทั้งหมด เช่นน้ำมันเครื่อง,น้ำบันเบรค,น้ำมันเกียร์ เป็นต้น
แต่ทางที่ดีรถไม่ควรขับลุยน้ำเพราะเครื่องยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไม่ถูกกับน้ำนะครับ
ผู้เขียนบทความ: www.kwamru.com สามารถนำไปเผยแพร่ได้โดยอ้างอิงที่มา